Laopu Gold เปิดตัวครั้งแรกในสิงคโปร์ นำทัพทองระดับพรีเมียมจากจีนสู่เวทีโลก
ร้านใหม่ของ Laopu Gold ในประเทศสิงคโปร์มีกำหนดเปิดอย่างเป็นทางการในวันที่ 21 มิถุนายนนี้ โดยตั้งอยู่ภายใน The Shoppes at Marina Bay Sands จุดหมายปลายทางด้านการช้อปปิ้งหรูหราระดับไอคอนของสิงคโปร์ ร้านใหม่นี้ตั้งอยู่เคียงข้างแบรนด์ระดับโลกอย่าง Louis Vuitton, Hermès และ Chanel นับเป็นสาขาแรกของ Laopu Gold นอกประเทศจีน
ท่ามกลางภาวะตลาดสินค้าหรูในเอเชียที่ยังคงเผชิญแรงกดดัน Laopu Gold แบรนด์ทองคำระดับพรีเมียมจากจีน ได้รับความสนใจอย่างมากทั้งในตลาดผู้บริโภคและตลาดทุน แบรนด์ยังคงมีผู้คนต่อแถวเข้าร้านในศูนย์การค้าหรูของจีนอย่าง SKP และ MixC อย่างต่อเนื่อง สาขาที่ตั้งอยู่ในสวนอวี้หยวน (Yuyuan Garden) ซึ่งเป็นแหล่งวัฒนธรรมสำคัญของเซี่ยงไฮ้ ได้กลายเป็นจุดหมายยอดนิยมของนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก การเปิดร้านใหม่ในสิงคโปร์ครั้งนี้ จึงถือเป็นอีกก้าวสำคัญของการขยายทองคำงานฝีมือจีนแบบดั้งเด็นสู่สากล
ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา Laopu Gold ได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากอุตสาหกรรมสินค้าหรูระดับโลก ผู้บริหารระดับสูงจากกลุ่มแบรนด์หรูชั้นนำอย่าง LVMH (บริษัทแม่ของ Louis Vuitton) และ Richemont (บริษัทแม่ของ Cartier) ได้กล่าวถึงการเติบโตของ Laopu Gold ทั้งโดยตรงและโดยอ้อม รายงานวิจัยของ Morgan Stanley ธนาคารลงทุนชั้นนำของโลกยังชี้ให้เห็นถึงผลการดำเนินงานอันโดดเด่นของแบรนด์ในประเทศจีน โดยระบุว่า การเติบโตของ Laopu Gold กำลังท้าทายความเชื่อที่ว่าบ้านแฟชั่นยุโรปไม่มีคู่แข่งจากภายในประเทศ โดยเฉพาะจากจีน
อะไรคือเสน่ห์ของแบรนด์ทองคำระดับไฮเอนด์นี้?
Laopu Gold ก่อตั้งขึ้นในปี 2009 เป็นหนึ่งในแบรนด์แรก ๆ ในจีนที่ส่งเสริมแนวคิด “เทคนิคช่างทองโบราณ” และปัจจุบันได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้นำด้านทองคำงานฝีมือแบบดั้งเดิมของจีน ต่างจากแบรนด์เครื่องประดับทองคำทั่วไป Laopu Gold นำเสนอทั้งเครื่องประดับหรูหราและของตกแต่งบนโต๊ะทำงาน รวมถึงงานศิลป์ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากวัฒนธรรมจีนโบราณ ด้วยการวางตำแหน่งผลิตภัณฑ์เฉพาะตัวและโมเดลธุรกิจที่แหวกแนว แบรนด์จึงสามารถสร้างพื้นที่เฉพาะในตลาดโลก โดยแทบไม่ต้องแข่งขันโดยตรงกับใคร
Laopu Gold เชี่ยวชาญในงานทองคำฝีมือแบบดั้งเดิมของจีน โดยใช้เทคนิคดั้งเดิมหลายรูปแบบที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของจีน เช่น การถักลวดทอง การฝังลาย การแกะสลัก และการลงยาแบบเผาอุณหภูมิสูง ซึ่งทั้งหมดสะท้อนถึงความงามแบบตะวันออกและความหมายเชิงวัฒนธรรมลึกซึ้ง
ในปี 2019 Laopu Gold สร้างนวัตกรรมใหม่ด้วยการฝังเพชรลงในทองคำแท้ 24K ซึ่งเป็นการพลิกแนวทางอุตสาหกรรมเดิมที่ใช้ทอง 18K ในเครื่องประดับเพชร ด้วยการผสมผสานงานฝีมือดั้งเดิมเข้ากับดีไซน์ร่วมสมัย แบรนด์ได้นำเสนอความงามของทองแท้ในรูปแบบแฟชั่นทันสมัย ซึ่งได้รับความนิยมในกลุ่มลูกค้ารุ่นใหม่ ตัวอย่างผลงานยอดนิยม เช่น “Vajra Cross” และ “จี้น้ำเต้าเพชร” ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการหลอมรวมระหว่างมรดกทางวัฒนธรรมกับสไตล์สมัยใหม่
ในปี 2022 Laopu Gold ได้แนะนำเทคนิคการลงยาเคลือบทอง ซึ่งเป็นการพัฒนาอีกขั้นของงานฝีมือดั้งเดิม เทคนิคนี้ช่วยเพิ่มสีสันให้กับทองคำ แรงบันดาลใจมาจากเทคนิคโบราณที่เรียกว่า “Shao Lan” หรือการเคลือบลงยาแบบเผาไฟฟ้าสีน้ำเงิน ซึ่งพัฒนาสูงสุดในช่วงราชวงศ์หมิง (1450–1457) ต่างจากเทคนิคลงยาระดับต่ำที่ใช้ทั่วไป Laopu Gold ยังคงใช้การลงยาแบบเผาอุณหภูมิสูงในเตาที่ประมาณ 800 องศาเซลเซียส ซึ่งใกล้จุดหลอมทองและเสี่ยงต่อการเสียรูป ผลงานเช่น “Seven-Gourd Pendant Collection” แสดงให้เห็นถึงการผสมผสานของความประณีตทางอารมณ์และฝีมือชั้นสูง
นอกเหนือจากนวัตกรรมด้านงานฝีมือแล้ว ความสามารถในการผสานวัฒนธรรมจีนดั้งเดิมกับความงามร่วมสมัยคืออีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้แบรนด์นี้โดดเด่น ลูกค้าที่หลงใหลในมรดกจีน ไปจนถึงผู้บริโภครุ่นใหม่ที่เคยชื่นชอบแบรนด์เครื่องประดับระดับโลก ต่างพบความเชื่อมโยงและอัตลักษณ์ในผลงานของ Laopu Gold
ตัวอย่างเช่น “จี้หอมลายมังกรหงส์ฝังเพชรลวดทอง” ได้รับแรงบันดาลใจจากจี้หอมที่ใช้ในชุด Fengguan Xiapei ของเจ้าชาย Shunyang แห่งราชวงศ์หมิง (1368–1644) ที่ปัจจุบันจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์เหอหนาน ผลงานของ
การตีความชิ้นงานโบราณใหม่โดย Lao Pu Gold นี้ แสดงให้เห็นถึงความชำนาญของแบรนด์ในการสืบสานงานหัตถศิลป์มรดกภูมิปัญญาที่จับต้องไม่ได้ โครงรูปถุงหอมถูกขึ้นรูปด้วยเทคนิคการตีและแกะสลัก พร้อมลวดลาย “คลื่นทะเล” ซึ่งเป็นลวดลายจีนดั้งเดิมที่สื่อถึงความมั่งคั่งไม่สิ้นสุด โครงสร้างภายในสร้างจากลวดลายเกลียว “หรูอี้” เกือบ 200 ชิ้น ที่ถักทอและเติมเต็มด้วยงานฝีมือแบบ filigree อย่างประณีต (หรูอี้: เป็นสัญลักษณ์แห่งโชคลาภ อำนาจ และบารมีในวัฒนธรรมราชสำนักจีน) การประดับเพชรยังเพิ่มความร่วมสมัยและแฟชั่นให้กับชิ้นงาน องค์ประกอบเหล่านี้ล้วนสะท้อนถึงรากฐานอันลึกซึ้งของฝีมือช่างจาก Lao Pu Gold
อีกตัวอย่างหนึ่งที่โดดเด่นคือ “ชามทองลายดอกไม้และนก” ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากสมบัติประจำชาติยุคราชวงศ์ถัง (ค.ศ. 618–907) คือชามเงินลงยาลายดอกไม้และนก ผลงานชิ้นนี้ถูกตีขึ้นด้วยมือทั้งหมด โดยใช้เทคนิคตีจากแผ่นเดียว (Single-sheet hammering) ที่ต้องใช้ความเชี่ยวชาญและความอึดสูงสุดในการผลิต ตัวชิ้นงานทำจากทองแผ่นเดียวโดยไม่ใช้การเชื่อมหรือประสานชิ้นส่วน ช่างฝีมือจะใช้ค้อนเฉพาะทางกว่าหนึ่งโหลสลับกันตีทองทีละจังหวะหลายหมื่นครั้ง หรือแม้แต่ถึงหลักแสนครั้งเพื่อสร้างชามหนึ่งใบให้เสร็จสมบูรณ์ ระดับของฝีมือเช่นนี้ส่งตรงถึงนักสะสมที่ให้คุณค่ากับมรดกทางวัฒนธรรมและความงามแบบละเอียดลึกซึ้ง หมู่นักสะสมเครื่องทองคำเหล่านี้ บางรายใช้จ่ายกับ Lao Pu Gold ปีละมากกว่าสิบล้านหยวน ซึ่งสะท้อนถึงความชื่นชมในความหายากและคุณค่าทางศิลป์ของผลงานอย่างลึกซึ้ง
สำหรับผู้บริโภคทั่วไป ความต้องการเครื่องประดับที่รวมเอาความหมายมงคล ความงามแบบจีน และดีไซน์ร่วมสมัยเข้าด้วยกันเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตัวอย่างเช่น “Vajra Cross” ได้แรงบันดาลใจจากอาวุธในพุทธศาสนา แสดงถึงพลังแห่งปัญญาในการขจัดพลังลบ และถูกยกให้เป็น “เครื่องรางเปลี่ยนดวง” บนโซเชียล อีกชิ้นคือ “จี้น้ำเต้าฝังเพชร” ซึ่งน้ำเต้าในภาษาจีน (hulu) พ้องเสียงกับ “พรและโชคลาภ” การเสริมเพชรยังสื่อถึงความมั่งคั่งยั่งยืน
ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ความต้องการทองดีไซน์สูงเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จากกำลังซื้อของผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้น และความนิยมในผลิตภัณฑ์เฉพาะตัว ตลาดเครื่องประดับในภูมิภาคคาดว่าจะเติบโตเฉลี่ย 3.35% ต่อปีจนถึงปี 2033 โดยเฉพาะสิงคโปร์ ซึ่งคาดว่าจะเติบโตเฉลี่ยปีละ 4.51% ระหว่างปี 2025–2029
Laopu Gold จึงอาจกลายเป็นจุดเริ่มต้นของกระแสทองจีนระดับพรีเมียมในระดับโลก โดยมีสิงคโปร์เป็นเวทีสำคัญในการเผยแพร่มรดกทองคำจีนสู่สายตาชาวโลก